เบอร์มิงแฮม ซิตี้ 2 – 2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ชมวีดีโอคลิปไฮไลท์การแข่งขัน คลิ๊กที่นี่
สนาม เซนต์ แอนดรูว์ส, อังกฤษ
ผู้ชมในสนาม 28,459 คน
รายการ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เวลา 02.45 น. วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2548
ผู้ตัดสิน โฮเวิร์ด เวบบ์
รุด ฟาน นิสเตลรอย และเวย์น รูนี่ย์ คู่กองหน้ามหาภัยของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำประตูได้ทั้งคู่ในเกมที่พบกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ที่สนามเซนต์ แอนดรูว์ส เมื่อวันพุธ แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับชัยชนะเมื่อเจมี่ แคลปแฮม และวอลเตอร์ ปันดิอานี่ ของเบอร์มิงแฮม ไล่ตามตีเสมอให้กับทีมได้
ทีมของสตีฟ บรูซ สู้ไม่มีถอยทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องถูกกดดันอยู่ตลอดเวลาในเกมที่เล่นกันอย่างสนุกสนานตลอด 90 นาที
ฟาน นิสเตลรอย ทำประตูให้ปิศาจแดง ขึ้นนำไปตั้งแต่ต้นเกม ก่อนที่แคลปแฮม จะตีเสมอได้ และเป็นรูนี่ย์ ที่ทำประตูให้ทีมขึ้นนำอีกครั้งตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง แต่ปันดิอานี่ ก็มาตามตีเสมอได้อีกในช่วงท้ายเกมก่อนหมดเวลา 12 นาที ผลการแข่งขันในนัดนี้ทำให้ช่องว่างคะแนนระหว่างเชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ตอนบนสุดของตารางต้องทิ้งห่างออกไปเป็น 11 คะแนนแล้ว หลังจากเชลซี บุกไปเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0
แต่ก็ยังมีข่าวดีคือการกลับมาของโอเล่ กุนน่าร์ โซลชาร์ หลังจากต้องอยู่ข้างสนามเป็นเวลานานกว่า 18 เดือนเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า เขาลงสนามมาในช่วงท้ายเกมโดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนโรนัลโด้
รายชื่อผู้เล่นตัวจริงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีการเปลี่ยนแปลง 3 ตำแหน่งจากทีมที่ซัด 3 ประตูเอาชนะเวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในวันบ็อกซิ่ง เดย์ โดยเวส บราวน์, ไรอัน กิ๊กส์ และปาร์ค จีซุง ถูกถอดออกทีม ให้คีแรน ริชาร์ดสัน, อลัน สมิธ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลงสนามแทนในเกมพรีเมียร์ชิพนัดนี้พบกับทีมที่ดิ้นรนหนีการตกชั้นของสตีฟ บรูซ
เบอร์มิงแฮม อยู่ในอันดับรองบ๊วยของตารางก่อนลงสนามในนัดนี้โดยมี 12 คะแนนจากการลงเล่น 17 นัด มีเพียงนัดเดียวคือเกมที่พบกับฟูแล่ม ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ที่ทีมของบรูซ คว้าชัยชนะในสนามของตัวเองได้
พวกเขาเปลี่ยนแปลงทีมเพียง 2 ตำแหน่งจากชุดที่แพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกคาร์ลิ่ง คัพ ในสนามเดียวกันนี้เมื่อ 8 วันก่อน โดยเคนนี่ คันนิ่งแฮม และเจมี่ แคลปแฮม ได้ลงเล่นแทนที่ของเดวิด ดันน์ และมาร์กอส เพนเทอร์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในชุดเสื้อสีแดงและกางเกงสีดำเขี่ยลูกเริ่มต้นเกมในช่วงเย็นที่แห้งแล้งและหนาวเย็น แต่เป็นเจ้าบ้านที่ได้สนุกกับการครองเกมบุกอย่างรวดเร็วเข้าใส่ประตูของเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ถึง 2 ครั้ง
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากการบุกตั้งแต่ต้นเกมของเบอร์มิงแฮม แต่ที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีโชคมากกว่าในการบุกครั้งแรกเข้าใส่เจ้าถิ่น คีแรน ริชาร์ดสัน ได้บอลบุกจากแดนตัวเองแล้วไหลบอลเร็วไปให้เวย์น รูนี่ย์ ชิ่งบอลเร็วต่อไปให้พอล สโคลส์ เปิดบอลข้ามหัวแผงกองหลังของเบอร์มิงแฮม คืนให้กับริชาร์ดสัน ที่วิ่งเติมขึ้นมาทางริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนที่จะกระชากบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษแล้วเปิดบอลเรียดเข้ากลาง ทั้งรุด ฟาน นิสเตลรอย และแม็ทธิว อัพสัน กองหลังของเบอร์มิงแฮม พุ่งเข้าหาบอลพร้อมกัน แต่เป็นฟาน นิสเตลรอย ที่ถูกบอลในจังหวะสุดท้ายก่อนที่บอลจะไปแฉลบแขนของไมค์ เทยเลอร์ ผู้รักษาประตูของเบอร์มิงแฮม เข้าประตูไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากฟาน นิสเตลรอย ในนาทีที่ 5
เป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่หลังจากนั้นตลอดเวลาประมาณ 15 นาที เจ้าถิ่นก็โต้กลับคืนด้วยการโหมบุกหนักจนตามตีเสมอได้สำเร็จ
สตีเฟ่น คลีเมนซ์ เกือบจะตีเสมอให้กับทีมได้ในนาทีที่ 10 โดยได้โหม่งจ่อๆ จากลูกเปิดทางปีกขวาของเจอร์เมน เพนแนนท์ แต่ฟาน เดอร์ ซาร์ ยังป้องกันเอาไว้ได้
หลังจากนั้น 7 นาที ยิริ ยาโรซิค นักเตะที่ถูกยืมตัวมาจากเชลซี ก็ได้ซัดลูกฟรีคิกจากนอกกรอบเขตโทษ บอลพุ่งข้ามคานไปเพียงไม่กี่นิ้ว
แฟนบอลเจ้าถิ่นเริ่มส่งเสียงเชียร์ดังขึ้นแล้วในตอนนี้และพวกเขาก็ได้เฮลั่นในอีก 60 วินาทีต่อมา การบุกตีเสมอของเบอร์มิงแฮม เริ่มมาจากแดนตัวเองเมื่อนิคกี้ บัตต์ แย่งบอลมาจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ บอลไปถึงเจมี่ แคลปแฮม ที่วิ่งเติมขึ้นหน้าจนกระทั่งทำประตูแรกของเขาให้กับสโมสรได้สำเร็จ เขาได้รับการช่วยเหลือตลอดทาง ครั้งแรกจากยาโรซิค แล้วต่อมาก็จากเอมิล เฮสกีย์ ก่อนที่แคลปแฮม จะยิงลูกเรียดข้ามเส้นประตูเข้าไป แม้ว่าฟาน เดอร์ ซาร์ จะพยายามปัดออกมาแล้วก็ตาม เบอร์มิงแฮม ตีเสมอเป็น 1-1 ในนาทีที่ 18
เบอร์มิงแฮม ตื่นตัวขึ้นมาทันทีหลังจากต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน และพวกเขาก็ทำผลงานได้ดีจนน่าจะเป็นครึ่งเวลาหนึ่งที่ดีที่สุดของพวกเขาในฤดูกาลนี้เลยทีเดียว
พวกเขาไล่บอลและก่อกวนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปทั่วทุกพื้นที่และเปิดเกมรุกทุกครั้งที่มีโอกาส ในขณะที่ปิศาจแดง ก็ได้โอกาสงามจากรูนี่ย์ และฟาน นิสเตลรอย แต่ทั้ง 2 ทีมก็ไม่มีโอกาสที่ถนัดนักเมื่อเข้าใกล้ช่วงพักครึ่งจนกระทั่งหมดเวลาครึ่งแรก ทำให้ยังเสมอกันอยู่ 1-1
สถานการณ์ดูเหมือนจะเลวร้ายลงไปอีกเมื่อเริ่มต้นครึ่งหลัง แม้ว่าพื้นสนามดูแข็งในครึ่งแรก แต่ในช่วงต้นครึ่งหลังดูเหมือนว่าการครองบอลบนพื้นทำได้ยากลำบากขึ้นไปอีก
รูนี่ย์ ดูเหมือนจะไม่กังวลเมื่อเขากระชากบอลผ่านอัพสัน เข้าไปยิงเรียด แต่บอลพุ่งออกข้างเสาทางซ้ายของไมค์ เทย์เลอร์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจนได้ เป็นการโต้ตอบอย่างสมบูรณ์แบบหลังจากถูกทีมของสตีฟ บรูซ บุกกดดันตั้งแต่เริ่มต้นครึ่งหลัง ริโอ เฟอร์ดินานด์ เล่นเร็วจากลูกฟรีคิกในแดนตัวเองโดยเปิดเรียดไปให้กับสโคลส์ และก็เป็นอีกครั้งที่กองกลางหัวแดงโชว์สายตาอันแหลมคมในการเปิดบอลต่อไปให้กับอลัน สมิธ ที่วิ่งเติมขึ้นมาทางปีกขวาแล้วไหลบอลจังหวะเดียวเข้ากลางจะให้กับฟาน นิสเตลรอย แต่ดาวยิงดัตช์แมนหยุดหลอกปล่อยบอลเลยไปเข้าทางรูนี่ย์ ที่แตะบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษก่อนที่จะซัดเรียดด้วยเท้าซ้าย บอลพุ่งเสียบมุมประตูเข้าไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 จากรูนี่ย์ ในนาทีที่ 54
เบอร์มิงแฮม ไม่เคยเอาชนะปิศาจแดง ได้เลยนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1978 ซึ่งพวกเขาชนะ 5-1 ที่สนามเซนต์ แอนดรูว์ส พวกเขาทำผลงานได้ดีในนัดนี้น่าจะเนื่องมาจากต้องการแก้ตัวจากผลงานย่ำแย่ในศึกคาร์ลิ่ง คัพ ที่เพิ่งผ่านมา แต่พวกเขาดูเหมือนจะเล่นตกลงไปเล็กน้อยหลังจากที่รูนี่ย์ ทำประตูที่ 11 ของตัวเองได้ในฤดูกาลนี้
โรนัลโด้ และฟาน นิสเตลรอย ได้ยิงเรียดคนละครั้ง แต่ไมค์ เทย์เลอร์ ยังไม่มีปัญหากับการป้องกันทั้ง 2 ครั้ง
ก่อนหมดเวลา 15 นาที สตีฟ บรูซ ส่งวอลเตอร์ ปันดิอานี่ ลงเล่นแทนเพนแนนท์ และก็เป็นการเปลี่ยนตัวครั้งสำคัญที่ได้ผล เพียง 3 นาทีที่ปันดิอานี่ อยู่ในสนามเขาก็ทำประตูตีเสมอให้กับทีมได้สำเร็จโดยบอลมาจากลูกเปิดทางปีกขวาของนีล คิลเคนนี่ ทำให้เบอร์มิงแฮม ตีเสมอเป็น 2-2 ในนาทีที่ 78 กองเชียร์เจ้าถิ่นได้เฮสนั่นอีกครั้ง
ในช่วงท้ายเกม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เปลี่ยนตัวเอาโอเล่ กุนน่าร์ โซลชาร์, ปาร์ค จีซุง และไรอัน กิ๊กส์ ลงสนามแทนที่ของโรนัลโด้, สมิธ และริชาร์ดสัน การลงสนามของโซลชาร์ ได้รับเสียงปรบมือกึกก้องจากแฟนบอลปิศาจแดง แต่ทั้ง 2 ทีมทำอะไรเพิ่มเติมไม่ได้จนหมดเวลาการแข่งขัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้เพียงบุกมาเสมอกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ด้วยสกอร์ 2-2
ปิศาจแดง ต้องการคว้าชัยชนะในนัดนี้ แต่เบอร์มิงแฮม แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักสู้ของผู้จัดการทีมของพวกเขาจนสามารถคว้า 1 คะแนนสำคัญได้สำเร็จ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มี 41 คะแนนจาการลงเล่น 19 นัด ตามหลังเชลซี จ่าฝูงของตารางอยู่ถึง 11 คะแนนเข้าไปแล้ว (บรรยายเกมโดย DaKinG)
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
เบอร์มิงแฮม ซิตี้
ไมค์ เทย์เลอร์ 1
เจมี่ แคลปแฮม 3 ( น. 18)
เคนนี่ คันนิ่งแฮม 4
มาร์ติน เทย์เลอร์ 2
แม็ทธิว อัพสัน 5
นิคกี้ บัตต์ 20
สตีเฟ่น คลีเมนซ์ 25
ยิริ ยาโรซิค 14
เดเมี่ยน จอห์นสัน 22
เจอร์เมน เพนแนนท์ 7
เอมิล เฮสกีย์ 16
สำรอง
นิโก้ แวเซ่น 18
มาร์กอส เพนเทอร์ 31 น. 84 เจมี่ แคลปแฮม 3
โอลิเวียร์ เทบิลี่ 26
นีล คิลเคนนี่ 15 น. 69 สตีเฟ่น คลีเมนซ์ 25
วอลเตอร์ ปันดิอานี่ 8 ( น. 78) น. 75 เจอร์เมน เพนแนนท์ 7
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 19
ริโอ เฟอร์ดินานด์ 5
แกรี่ เนวิลล์ 2
จอห์น โอเชีย 22
ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 24
คีแรน ริชาร์ดสัน 23
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7
พอล สโคลส์ 18
เวย์น รูนี่ย์ 8 ( น. 54)
อลัน สมิธ 14
รุด ฟาน นิสเตลรอย 10 ( น. 5)
สำรอง
ทิม โฮเวิร์ด 1
เชราร์ด ปิเก้ 28
ไรอัน กิ๊กส์ 11 น. 86 คีแรน ริชาร์ดสัน 23
ปาร์ค จีซุง 13 น. 83 อลัน สมิธ 14
โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ 20 น. 83 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7
สถิติของเกม
เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ยิงประตู 11 ครั้ง ตรงกรอบ 5 ครั้ง, ฟาวล์ 13, เตะมุม 4, การครองบอล 49%
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงประตู 11 ครั้ง ตรงกรอบ 5 ครั้ง, ฟาวล์ 13, เตะมุม 4, ล้ำหน้า 4, การครองบอล 51%
คะแนนความสามารถ
เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ไมค์ เทย์เลอร์ 7, เคนนี่ คันนิ่งแฮม 6, มาร์ติน เทย์เลอร์ 5, แม็ทธิว อัพสัน 6, เจมี่ แคลปแฮม 7, เจอร์เมน เพนแนนท์ 5, สตีเฟ่น คลีเมนซ์ 6, นิคกี้ บัตต์ 6, เดเมี่ยน จอห์นสัน 6, ยิริ ยาโรซิค 5, เอมิล เฮสกีย์ 8, มาร์กอส เพนเทอร์ (สำรอง) 0, นีล คิลเคนนี่ (สำรอง) 7, วอลเตอร์ ปันดิอานี่ (สำรอง) 7
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 5, แกรี่ เนวิลล์ 5, ริโอ เฟอร์ดินานด์ 6, จอห์น โอเชีย 4, คีแรน ริชาร์ดสัน 7, ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 5, พอล สโคลส์ 8, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 5, อลัน สมิธ 6, รุด ฟาน นิสเตลรอย 6, เวย์น รูนี่ย์ 7, ไรอัน กิ๊กส์ (สำรอง) 6, ปาร์ค จีซุง (สำรอง) 5, โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ (สำรอง) 5
Por